กุลสตรี รักนวลสงวนตัว พรหมจรรย์ คติความเชื่อ ความคิดของชนชั้นผู้ดี?

เคยอ่านและชอบบทความนี้ คิดว่ามีมุมมองที่อาจเป็นประโยชน์ต่อน้องๆ
ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายด้วย ซึ่งตอนนี้เขาถอด Link ของหน้านี้
ออกไปแล้วล่ะ เลยเอาข้อความที่เซฟไว้มาลง(เป็นคอลัมน์การศึกษา
จากเวบผู้จัดการออนไลน์)ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ และขออภัย
เรื่องทางเทคนิค ที่ไม่สามารถลงภาพได้ ถ้าชอบก็ขอยกเครดิตให้แก่ คุณ
สุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้เขียนด้วยค่ะ
...
"สุจิตต์ วงษ์เทศ" พูดถึง "เพศ" ในมิติวัฒนธรรมไทย

--------------------------------------------------------------------------------โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2548 10:08 น.
คำ ว่า "กุลสตรี" "รักนวลสงวนตัว" "พรหมจรรย์" "พรหมจารี" เหล่านี้ล้วนเป็นคาถากำกับความเป็นหญิงที่ถูกครอบงำด้วยคติความเชื่อความคิด ของชนชั้นผู้ดี..
ความ เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในเรื่องเพศนั้น มีช่องทางวิธีการที่ทำให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง อิ่มเอม ดูดี นั่นคือการผสมผสานวัฒนธรรมกับความรู้เพื่อแสดงออกทางธรรมชาติของเพศ แต่ใครเป็นผู้กำหนดกรอบ ทัศนคติแง่มุมเรื่องเหล่านี้ สุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้เชี่ยวชาญเชิงวัฒนธรรม และบรรณาธิการนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ให้มุมมองแง่คิด ในการประชุมเพื่อพัฒนาหลักสูตรอบรมวิทยากรเพศศึกษา (Master Trainers) โครงการก้าวย่างอย่างเข้าใจ เมื่อเร็วๆนี้

เมื่อ สุจิตต์ บอกว่า ความเป็นไทย ประเพณีวัฒนธรรมเป็นปัญหาที่เราควรกลับมาทำความเข้าใจกันใหม่ นอกจากเรื่องเพศแล้ว การเป็นเครือญาติกับเพื่อนบ้าน และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ยังมีความเข้าใจผิดมหาศาล เกิดเป็นปัญหาความขัดแย้ง เข่นฆ่า ถ้าไม่เข้าใจจุดนี้เรื่องเพศก็ไม่มีทางเข้าใจ
" แท้จริงแล้ว ความเป็นไทยไม่เคยมี ยกเว้นเรื่องหลอกๆ ที่คิดเองเออเอง ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ชื่อคนไทยปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนต้น ชื่อว่า "สมุทรโฆษคำหลวง" ก่อนหน้านั้นยังไม่พบ เพราะฉะนั้น ที่พูดกันเป็นตุเป็นตะเป็นเท็จทั้งนั้น จินตนาการขึ้นเอง คิดไปเองเหมือนผีเจ้าเข้าทรง"
สุ จิตต์ บอกอีกว่า ความเป็นไทยจริงๆ ถือเป็นสิ่งสมมุติ แต่ความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องจริง ความเป็นคนไทยมิได้ระบุเผ่าพันธุ์ ไม่สามารถบอกได้ด้วยการตรวจดีเอ็นเอ จึงถือเป็นเพียงชื่อทางวัฒนธรรมที่สมมติขึ้นมา ความเป็นไทยแท้จึงไม่มี ต้นตระกูลบรรพบุรุษรากเหง้าอาจสืบเชื้อสายมาจากจีน ลาว ผสมผสานก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ดังนั้นไม่ควรห่วงความเป็นไทยแท้ แต่ควรกังวลกับความเป็นคนแท้มากกว่า

ขนบหญิงเป็นใหญ่ในอุษาคเนย์
นั่น เป็นสิ่งที่ สุจิตต์ ชี้ให้เห็นว่า รากเหง้าวัฒนธรรมไทย ไม่เคยบอกว่า เพศเป็นเรื่องไม่ดี แต่ถือเป็นความปกติ ธรรมดา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ถ้าจะดูรากเหง้าทางวัฒนธรรมจำเป็นที่จะต้องสังเกตพฤติกรรม ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ชาวพื้นเมือง ซึ่งปัจจุบันก็ยังสืบทอดประเพณีวัฒนธรรม ไม่ใช่มองพวกเขาเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน แล้วยึดคติความเชื่อของพวกผู้ดี ยึดเป็นวัฒนธรรมไทย
" เชื่อหรือไม่ว่าสมัยนี้ก็ยังมีชนเผ่าแบบที่ว่านี้อยู่ คือ ถ้าไม่ชอบหน้ากันก็สามารถเปลี่ยนผัวได้สบายๆ ประเพณีในชนเผ่ายังสืบเนื่องตกทอดมาถึงยุคนี้ ยกตัวอย่างชาวไทยดำ จากจดหมายเหตุ ร. 5 ระบุว่า ผู้ชายที่จะไปเป็นผัวผู้หญิงจะต้องทดลองไปอยู่บ้านผู้หญิงก่อนอย่างน้อย 15 ปี เพื่อให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้พิจารณาว่ามีความสามารถในการทำมาหากินได้หรือไม่ ขี้เกียจหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เลิกกันไล่ออกจากบ้าน แล้วหาผัวใหม่ ดังคำเรียกว่า ไอ้บ่าว ซึ่งหมายถึง ขี้ข้า นั่นเอง ดังนั้น เรื่องของพรหมจารีจึงไม่เกี่ยวเลย อีกทั้งสิทธิ์ในการเลือกยังเป็นของผู้หญิงมากกว่า ผู้หญิงจะเป็นผู้พิจารณาว่ามีลักษณะเหมาะสมกับการเป็นสามีหรือไม่ ผู้หญิงเป็นผู้พิจารณาไม่ใช่ผู้ชายเป็นผู้พิจารณา"
สุ จิตต์ บอกต่อว่า ปัจจุบันกลับกัน เราเอาวิธีคิดของผู้ชายมาจัดระเบียบให้กับผู้หญิงที่ไม่มีรัฐ ทั้งหมดคือรากฐานชีวิตมนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เดิมถือคติเหมือนกันหมด คือ ผู้ชายต้องอาศัยบ้านฝ่ายหญิง จึงต้องอยู่ท่ามกลางญาติของฝ่ายหญิง ผู้ชายไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ผู้หญิงจึงเป็นเจ้าของบ้าน ผู้ชายเป็นแค่แขกมาพึ่งมาอาศัย เรียกว่า เขย ตรงข้ามกับประเพณีจีนที่ผู้หญิงต้องมาอยู่บ้านสามีหรือที่เรียกว่า สะใภ้
ปัจจุบัน มีชนเผ่าหนึ่ง ในยูนนาน ประเทศจีน หมู่บ้านนี้ผู้หญิงอยากมีลูกแต่ไม่อยากมีสามี ทุกวันผู้ชายจะมาเคาะฝาบ้านเพื่อขอมีเพศสัมพันธ์ เพื่อให้กำเนิดลูก โดยที่ผู้หญิงเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรเอง ลูกไม่จำเป็นต้องรู้จักพ่อที่แท้จริง เพราะผู้ชายทุกคนสามารถเป็นเสมือนพ่อได้หมด ไม่ว่าจะเป็นลุง น้า และตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนี้อยู่
ค่านิยมพรหมจารีมีมาจากฝรั่ง
ใน สังคมดึกดำบรรพ์ แม้แต่ช่วงที่กำเนิดรัฐแล้ว เรื่องเพศก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญนักหนา ไม่ใช่เรื่องเป็นเรื่องตายเพราะเขาไม่รู้จัก "พรหมจารี" อันที่จริงแล้วพรหมจารีนั้นเป็นอิทธิพลของฝรั่งในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย ซึ่งเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยก่อนหน้านี้ไม่เคยมีวิธีความคิดแบบพรหมจารีมาก่อน ส่วน "พรหมจรรย์" หรือ "เพศพรหมจรรย์" ก็รู้จักในแง่ของนักพรต ผู้บำเพ็ญตน พระฤาษี พรหมจรรย์จึงเป็นความเชื่อทางศาสนาไม่เกี่ยวข้องกับสาวพรหมจรรย์แต่อย่างใด
สุ จิตต์ ย้ำว่า ที่แน่ๆ คือ พรหมจารีเป็นของฝรั่ง ไม่ใช่ขอไทยอย่างที่เชื่อกันมา ขณะนี้ผู้หลัก ผู้ใหญ่มักชอบพูดว่า ประเพณีไทยแท้แต่โบราณผู้หญิงทุกคนจะต้องรักนวลสงวนตัว จะต้องเป็นสาวพรหมจารี แต่ให้สังเกตว่า ประเพณีกวนข้าวทิพย์ที่ต้องใช้หญิงพรหมจารี ก็ยังต้องใช้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่ยังไม่มีประจำเดือน เพราะคนโบราณรู้ว่า เมื่อย่างเข้าสู่วัยมีประจำเดือน ช่วงอายุ 13 ปี เด็กจะเริ่มมีความรู้สึกทางเพศ ฉะนั้นเด็กอายุ 13 ปี จะมีพิธีกรรมเปลี่ยนเด็กเล็กเป็นเด็กโต ถ้าในเอกสารจีนที่พบในกัมพูชา เรียกว่า "พิธีเบิกพรหมจรรย์" เพื่อเปลี่ยนสถานะจากเด็กสู่สาว ทำขวัญเตรียมรับสถานการณ์ หรือ "พิธีลงข่วง" เป็นการเปิดโอกาสให้วัยรุ่นได้มีโอกาสพูดคุย สนิทสนม และนำไปสู่การคบหา มีเพศสัมพันธ์เมื่อเกิดความพึงพอใจ แต่ก็ต้องอยู่ในความควบคุมของผีบ้าน ผีเรือน ผู้ใหญ่ รับรู้ รับฟัง มีการมาขอผี ขอขมาลาโทษ ผู้ใหญ่ยอมอภัยให้สามารถอยู่กินกันได้ไม่เสียหาย ถ้าอยู่ไม่ได้ก็เลิกกันไป
" สังคมสมัยใหม่ดัดจริต พูดว่าเป็นประเพณีไทยแท้แต่โบราณ ต้องแบบนั้นแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่อง ขอย้ำผมไม่ได้สนับสนุนการมั่วเซ็กซ์ อย่าเอาความคิดตัวเองมาคิดแทน ไม่เกี่ยวกับเซ็กซ์เลย แต่เรื่องเพศน่าจะเป็นเรื่องที่คุยกันได้เปิดเผย โดยไม่ต้องใช้คำหยาบคาย ส่วนคนกรุงถือว่ามีการศึกษาก็มองว่าคนต่างจังหวัดหยาบคายพูดเรื่องเพศแล้ว รับไม่ได้วี้ดว้ายแต่แอบไปดูวีซีดีน้องแนท"
และ แล้ว...อวัยวะเพศก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ สกปรก ความเชื่อ ความคิดผิดๆ ก็สะสมมาเรื่อยๆ โดยที่หญิงไทยก็รับในกติกายอมให้ถูกกดขี่ เชื่อว่า ผู้หญิงไม่ดีจริงๆ ไม่มีปัญญาจะถกเถียง มัวแต่อายที่จะพูดเรื่องเพศ โดยความเหลื่อมล้ำทางเพศ เข้ามามีอิทธิพลเมื่อ พระพุทธศาสนา-พราหมณ์-ฮินดู เข้าสู่ภูมิภาคนี้ พระนารายณ์ พระศิวะ พระพรหม ล้วนเป็นเทวดาผู้ชายทั้งสิ้น รวมทั้งศาสนาจากซีกโลกตะวันตก ก็มีส่วนทำให้สถานภาพของผู้หญิงต่ำผิดปกติแล้วเราก็รับคติ ความเชื่อนี้มาโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งระบบการศึกษาที่หล่อหลอมทั้งระบบในสังคม ไม่น้อยกว่า 50 ปี ก็ยิ่งตอกย้ำให้ผู้หญิงย่ำแย่ไปกันใหญ่ จนกระทั่งวิวัฒนาการเกิดเป็นเฟมินิสต์ขึ้นในปัจจุบัน
ยุติกดขี่ทางเพศสอนเซ็กซ์ถูกควร
สุ จิตต์ ยืนยัน ขอให้เลิกวิธีคิดแบบความเป็นไทยจอมปลอม โกหกหลวกลวงตัวเอง ดูความวรรณคดีในเรื่องเพศ ตัวละครในวรรณคดีไทยอย่าง นางวันทอง มีเซ็กซ์กันตั้งแต่อายุ 14 น่าจะหันมาสนใจพิธีกรรมของชาวบ้านในเรื่องเพศ ทั้งหมดคือเพศศึกษา เข้าใจเพศสภาวะ เพศสภาพความเป็นผู้ชายความเป็นผู้หญิงด้วยความเข้าใจความเป็นมาของเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่การกดขี่ทางเพศ แต่พึ่งพาอาศัยกัน
ที่ สำคัญคือ กรุณาอย่าทำลายเด็กผู้หญิง ด้วยการประณาม หยามเหยียด เมื่อเขามีเพศสัมพันธ์ เขาคงไม่มาขออนุญาตแน่ๆ แต่เราบอกเขาได้ให้มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย กล้าพกถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคและการตั้งท้อง ให้กำลังใจเมื่อผิดพลาด อย่าซ้ำเติม ไม่เช่นนั้น เด็กอาจคิดสั้น เสียใจ มันไม่ยุติธรรมหากเขาพลั้งเผลอไปเพราะความรู้ไม่ทัน ถูกหลอกจะให้เด็กจัดการอย่างไร เมื่อเรียนหนังสือ ครู-อาจารย์ก็สอนมาตลอดให้เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้เหมือนนางนพมาศ จึงทำให้ตามผู้ชายไม่ทัน เรียบร้อย แต่ก็โง่ ดังนั้น หากสาวไทยเอาอย่างนางนพมาศก็คงได้เป็นเอดส์คนแรก เราจึงไม่ควรให้เขาโง่ แต่ควรให้จับได้ไล่ทัน แต่ไม่ใช่มั่วเซ็กซ์อย่าเอาไปปนกัน อย่าเอาไปโยงกัน
และ หากต้องการไม่ให้เด็กไปหมกมุ่นมากก็หาทางเลือกอื่นๆ เตรียมไว้อย่างญี่ปุ่น อเมริกา วัยรุ่นมีทางเลือกเยอะ ตลอดเวลา เด็กไม่จำเป็นที่จะมีเซ็กซ์ หากเขามีพิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หอศิลป์ดีดี ย้อนกลับมาดูสังคมไทยวันนี้ไม่มีพื้นที่ให้วัยรุ่นเลยนอกจากแหล่งอโคจร วัยรุ่นในสังคมไทยจึงถือว่ามีทางเลือกน้อยมาก
ที่ สำคัญคือ เรื่องเพศไม่ใช่ปัญหา แต่เด็กขาดจินตนาการ ความรู้ในสิ่งที่ดี ถ้าเราอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี พูดเรื่องเพศในทางที่เคารพซึ่งกันและกันทั้งความเป็นหญิงและชาย เริ่มต้นจากรากฐานแห่งความจริง เราก็จะแก้ไขปัญหาได้ แต่เราไม่เคยทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้จึงเกิดปัญหาอย่างที่เป็นอยู่ทุก วันนี้...

1 comment:

เรารักในหลวง said...

ผมเข้าไปคลิ๊กดูโฆษณาข้างในแล้วนะครับ อันนี้ยอดขึ้นเยอะดี ว่างๆจะปั๊มให้เยอะๆเลย